Saturday, March 22, 2008

ความทุกข์


อ่านเจอจากนิตยสาร online ธรรมะใกล้ตัว ที่หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช ได้เทศน์เอาไว้เกี่ยวกับความทุกข์ อ่านแล้วชอบเลยเอามาแบ่งปันกันนะคะ


ความทุกข์... ไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมของชีวิต
และศาสนาพุทธก็เป็นศาสนาเดียวที่สอนให้เรากล้าเผชิญหน้ากับมัน
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราวิ่งหนีทุกข์ ไม่ได้สอนให้เราวิ่งหาความสุข
แต่สอนให้เข้าไปทำความรู้จักกับมัน
เพื่อที่จะได้เป็นอิสระจากมัน


และความทุกข์ก็ไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล
ทุกข์ไม่ได้อยู่ที่คนที่ทิ้งเรา ไม่ได้อยู่ที่ศัตรู ไม่ได้อยู่ที่คำพูดบาดหู ไม่ได้อยู่ที่ก้อนหนี้
แต่อยู่ที่ตรงนี้ ...ที่จิตที่ใจของเรานี้เอง


อ่านเพิ่มเติมหรือไปโหลด MP3 ที่หลวงพ่อเทศน์ไว้ได้ที่ http://www.wimutti.net/pramote/

อ่าน ธรรมะใกล้ตัว หรือสมัครสมาชิกได้ที่นี่ค่ะ http://dungtrin.com/mag/


Thursday, February 21, 2008

Graduation!!!

Yeah!!! ในที่สุด ปุ๊ก็ได้ officially หมดภาระแล้ว วันนี้เป็นวันรับปริญญาของไอ้ลูกชาย หรือเก่ง น้องชายสุดเลิฟที่เลี้ยงต้อย ส่งเสียกันมาตั้งแต่เริ่มทำงานใหม่ๆ ตอนนั้นน้องเรียนมัธยม หลายปีผ่านไป Finally, I'm officially off the hook. hahaha...

การที่เลี้ยงดูน้องเต็มตัวมานาน ได้เห็นช่วงเวลาต่างๆในชีวิตที่ค่อยๆเดินข้ามผ่านไป (เอ... ประโยคนี้คุ้นๆ เหมือนจะยืมพี่บอย ป๊อดมายังไงก็ไม่รู้ดิ) ตอนที่น้องเรียนมัธยมปลายก็คอยกระตุ้นให้อ่านหนังสือ จนกระทั่งน้องเอ็นท์ติดวิศวะ ลาดกระบัง คืนนั้นที่รู้ผล จำได้ว่าตัวเอง ยิ้มไม่หุบ เข้านอนแล้วก็ยังยิ้ม ปลื้มใจและก็ภูมิใจมากที่น้องประสบความสำเร็จไปอีกขั้น

ช่วงเวลาสี่ปีที่มหาลัย พี่สาวก็กลัวน้องจะขี้เกียจ ติดผู้หญิง ติดยา สารพัด เป็นห่วง กังวลไปหมด เตือนบ้าง ด่าบ้าง แต่น้องก็รู้นิสัยว่า ด่าไปงั้นแหละ เพราะเวลาน้องมาอ้อนขออะไร สุดท้ายก็ใจอ่อนยอมให้อย่างที่น้องขอตลอด

แต่แล้ว... สี่ปีผ่านไป น้องก็เรียนจบ พี่สาวคนนี้ก็คอยเล่น role play เตรียมการสัมภาษณ์งานกะน้องชาย แบบ version ไทยและอังกฤษ และแล้วน้องก็ได้งานทำ สัมภาษณ์ไปหนเดียวเอง อุตส่าห์ซ้อมแทบแย่ อิ อิ.. โค้ชดีก็งี้แหละ

ด้วยความดีใจและใจอ่อนกับเสียงอ้อน พี่สาวก็เลยยอมควักเงินก้อนใหญ่ไปดาวน์รถให้เป็นของขวัญรับปริญญาน้องชาย เล่นเอาโดนกัดจากพี่ๆที่ office ว่า แกเก็บเงินไว้ขอเมียให้มันหรือยัง เอิ่ม...

นึกๆย้อนไปแล้ว ก็เขียนไปยิ้มไป เวลาที่เราประสบความสำเร็จ พ่อแม่ก็คงรู้สึกแบบนี้เหมือนกันนะ คงจะมากกว่านี้ด้วยซ้ำเนอะ จะว่าไปกลยุทธ์ของแม่ที่ให้ปุ๊เป็นคนเลี้ยงดูน้องก็เป็นกลยุทธ์ที่ฉลาดเลยทีเดียว นอกจากแม่จะประหยัดเงินแล้ว ยังทำให้ปุ๊มีความรับผิดชอบ แถมพี่สาวและน้องชายก็ผูกพันกันอีก แน่มากๆเลยแม่เรา

งานรับปริญญาปีนี้ของลาดกระบังจัดกันที่ไบเทค บางนา คนเยอะมาก เราสองคนพี่สาวและน้องชายไปถึงกันตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมงเช้า ไปเจอกะพ่อแม่ ตายาย และญาติๆที่นั่น งานนี้มีน้องพล ลูกชายของน้ารับปริญญาด้วยอีกคน วิศวะ ลาดกระบังเหมือนกัน ถ่ายรูปกันไปพอให้เก็บบรรยากาศแห่งความปลื้มมม ด้วยกล้องพอลล่าที่ตั้งใจซื้อมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ สุดท้ายก็ได้ออกงานอย่างที่ตั้งใจไว้ซะที เนื่องจากกล้องนี้ซื้อมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ตอนน้องเรียนจบใหม่ๆ แล้วงานรับปริญญาก็เลื่อนๆๆข้ามปีมา พอลล่าของปุ๊เลยตกรุ่น โดนกล้องน้องบี้ cybershot ของอากงแซงหน้าไปซะงั้น (คิกๆๆ อากงมาแบบเท่ห์มากมีกล้องน้องบี้ห้อยคอมาเลยทีเดียว)

ดูรูปกันซะหน่อยละกัน เดี๋ยวพอลล่าจะน้อยใจ



วันถ่ายรูปหมู่ที่ลาดกระบัง


ไอ้ลูกชาย


สามคนซ้ายมือไม่รู้ชื่อไรกันมั่ง เก่งอยู่ขวาสุด


หญิงกะเก่ง (ดูจากรูปคงไม่ต้องอธิบายว่าหญิงเป็นใคร)



ที่ไบเทคท่ามกลางฝูงชน

เก่งถ่ายกับอากงอาม่าสุดเลิฟ

เก่งกับอาม่า




ป๊ะป๋า เก่ง หญิง และแม่ (ดูแล้วจะงงว่า มันสูงเหมือนใครเนี่ยะ)


อ่ะนะ


น่ารักดี


เก่งกับแม่


เก่ง ปุ๊ และพล


สามคนพี่น้อง


พี่สาวกะน้องชาย


ฮึ่บ.. ฮึ่บ..

ขอโทษ เห็นแบบนี้เหอะ ตอนหนุ่มๆหล่อกว่าลูกชายเยอะ


Wooo Hoooooooo!!!


แกเป็นใคร มาทำอะไรกับรถและกล้องของช้านนน


และพวก แก แก แกด้วย


ไอ้อ้วนนี่ใคร


ไอ้ดำนี่ เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย


หนอย.... พวกแก๊....

ผมป่าวค้าบ... ไอ้นี่ค้าบ (ฉลาดจริงน้องชั้น)

Monday, January 14, 2008

Live and Learn

ฟังเพลง Live and Learn

"เมื่อวันที่ชีวิต เดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยน จนบางครั้งคนเราไม่ทันได้ตระเตรียมหัวใจ
ความสุขความทุกข์ ไม่มีใครรู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ จะยอมรับความจริงที่เจอได้แค่ไหน

เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป มีสุขสมมีผิดหวัง
หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน

อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

สุขก็เตรียมไว้ ว่าความทุกข์คงตามมาอีกไม่ไกล
จะได้รับความจริงเมื่อต้องเจ็บปวดไหว

เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป มีสุขสมมีผิดหวัง
หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน

อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด"

ชื่อเพลง : ลีฟ แอนด์ เลิร์น (Live and Learn)
ศิลปิน : กมลา สุโกศล แคลป์ โดยบอย โกสิยพงษ์
album: Millions Way to Love

Tuesday, January 8, 2008

ชีวิตคือความบังเอิญ

วันนี้ได้ forwarded email มา 2 อัน เกี่ยวกับ "ความบังเอิญ" คิดไปคิดมา มันดูเกี่ยวข้องกันโดยบังเอิญจริงๆ เพราะเมล์สองอันนั้นส่งมาจากคนละคนกัน แต่พออ่านแล้วก็เลยคิดขึ้นมาว่า ในชีวิตเรา มีความบังเอิญบ่อยแค่ไหนที่เกิดขึ้น แล้วจะเปลี่ยนชีวิตเราหรือชีวิตของคนที่เกี่ยวข้อง และมันจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหนก็ขึ้นอยู่ที่เราจะเลือกทางเดินนั้นด้วยตัวเราเอง ตามทฤษฎี the 90/10 Principle ของ Stephen Covey เค้าบอกว่า 10% of life is made up of what happens to you. 90% of life is decided by how you react.

อืม... น่าคิด ทีนี้มาลองอ่านเรื่องข้างล่างนี่ดูนะ

ข้อความบังเอิญ....

'มีคนเคยบอกว่า...ชีวิตคือความบังเอิญ..แต่ความบังเอิญบางครั้งก็เปลี่ยนแปลง..มุมมองเราใหม่ทั้งชีวิต '
ผมไม่เคยเชื่อในข้อความนี้...จนกระทั่งวันธรรมดาวันหนึ่ง ที่ผมเปิดมือถือขึ้นตอนเช้า
ผมได้รับข้อความ SMS บอกว่า ผมมีข้อความเสียงฝากไว้ ใน Voice Mail Box ของผมให้โทรเข้าไปฟัง...

ผมกด เข้าไปฟัง แต่พอฟัง...ผมกลับรู้สึกแปลกใจใหญ่เพราะเสียงของคนที่ฝากข้อความไว้นั้นผมไม่คุ้นเอาเสียเลย...
และยิ่งฟังข้อความที่ฝากไว้...ยิ่งน่าจะไม่เกี่ยวกับผมเลยด้วยซ้ำ แต่เสียงเศร้า ของชายสูงวัยนั้น ทำให้ผมสะดุดใจผมอย่างยิ่ง
'ชัย...นี่พ่อนะ พ่อพยายามติดต่อลูกหลายครั้ง แต่ติดต่อไม่ได้ คือ พ่อต้องเข้ารพ.ไปผ่าตัดอาทิตย์หน้า และหมอให้พ่ออยู่ที่
โรงพยาบาลตั้งแต่พรุ่งนี้..ที่บ้านไม่มีคนอยู่..ถ้าลูกว่างก็แวะมาได้ที่ โรงพยาบาลโคราช บางทีพ่ออาจจะเหลือเวลาไม่มาก......'
เสียงปลายทาง..สิ้นสุดลง ผมอึ้งและ...งง กับข้อความที่เพิ่งฟังจบไป อยู่พักหนึ่ง
ผมไม่ได้ชื่อชัย...และผม ก็ไม่มีพ่ออยู่โคราช พ่อผมเสียไปนานมากแล้ว...
ผู้ชายคนนั้นคง..กดเบอร์โทรผิด ผมคิดแค่นั้น และพยายามไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ผมเพิ่งฟังมา
ทำไมต้องสนใจ????..มันไม่เกี่ยวกับผม..!

แต่ตลอดวันนั้น เสียงล้าๆ เหนื่อยๆ ของชายคนนั้นที่ฝากไว้ใน Voice Mail Box วนเวียนเข้ามารบกวนใจผมเป็นระยะ...
ผมได้แต่คิดว่า ผมมีสิทธิ์ที่จะลืมมัน? มันไม่ใช่หน้าที่อะไรของผมที่จะต้องสนใจ กับแค่การฝากข้อความผิดเบอร์...
แต่ประโยค ' บางทีพ่ออาจจะเหลือเวลาไม่มากนัก......' มันทำให้ผมรู้สึกแย่ หากไม่ลุกมาทำอะไรสักอย่าง
ผมตัดสินใจโทรกลับไปที่หมายเลขที่โทรมาฝากข้อความไว้....ซึ่งเป็นโทรศัพท์บ้าน...
ผมโทรไปหลายต่อหลายครั้ง ไม่มีคนรับสาย....ใช่ป่านนี้เค้าคงอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว
ผมได้แต่ถอนใจและพยายามบอกว่าตัวเองทำดีที่สุดแล้ว...
แต่ตอนเย็นของวันนั้น ในที่สุด ความสำนึกดี..(ที่มีอยู่ไม่มากนักในตัวผม)
ก็(ดัน) ดลบันดาลในให้ผม หาทางออกได้ว่า ผมน่าจะลองโทรไปหาเบอร์มือถือที่ใกล้เคียงกับผมดู
เผื่อบางที อาจจะมีเบอร์ใด...ที่อาจจะเป็น ลูกชายของคนที่ฝากข้อความไว้ก็ได้
เพราะถ้ากดผิดได้แสดงว่าหมายเลขคงจะห่างกันไม่มาก
ผมตัดสินใจไล่...กดเบอร์มือถือ ที่ใกล้เคียงกับเลขหมายโทรศัพท์ของผม ตั้งใจว่าจะกด แค่สิบเบอร์แรก...เท่านั้น
โดยเรียงจากเลขที่ใกล้เคียงกันมากที่สุด...ผมทำมันด้วยความไม่เต็มใจเท่าไหร่นักหรอก..
เพราะมันไม่สนุกเลยที่คุณจะต้องโทรไปหาใครที่ไม่รู้จักแล้วบอกเค้าว่า

'สวัสดีครับ คุณชื่อชัยหรือเปล่าครับ...ผมเป็นคนที่มีเลขหมายโทรศัพท์มือถือ ใกล้เคียงกับคุณ คือ คุณพ่อคุณคงกดเบอร์ผิด
และฝากข้อความไว้ที่ Voice Mail ของผม คือ ท่านบอกว่า เค้ากำลังจะเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาลทีโคราชอาทิตย์หน้า.... '

ทายซิครับ...ผมได้รับคำตอบ....อะไรบ้าง?
บ้างก็วางสายใส่อย่างไม่ปราณี...
บ้าง..ก็ถามกลับมาว่า คุณบ้าหรือเปล่า?
แต่คำตอบยอดนิยมที่ผมได้รับ...คือ....'ขอโทษนะค่ะ...ดิฉันไม่ซื้อประกันตอนนี้...และทำบัตรเครดิตครบทุกธนาคารแล้วค่ะ'
ผมอยากจะบ้าตาย..ผมไม่ได้พูดอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องประกัน กับ บัตรเครคิตซะหน่อย..เฮ้อ...
บางที...คนสมัยนี้ คงยุ่งเกินกว่าที่จะ คุยกับคนแปลกหน้า..ก็ได้...มั้ง……
ผมนึกโกรธ เจ้าความสำนึกดีในตัวเอง...ที่มันยังดึงดันพยายามต่อ...
จากที่ตั้งใจว่า จะโทรแค่ 10 เบอร์ที่ใกล้เคียงเท่านั้น แล้วผมก็ลามปราม...โทรไปถึง..สามสิบเบอร์
แต่ในที่สุด..ผมก็ต้อง..ถอนใจ ...หมดหวัง..เมื่อเบอร์สุดท้ายก็ติดต่อไม่ได้

ผม...ตัดสินใจฝากข้อความ Voice Mail ของหมายเลขที่ผมลองสุ่มโทรไป... ด้วยประโยคที่ผมพูดซ้ำกันมากกว่า 30 รอบ อย่างเชี่ยวชาญ
' สวัสดีครับ คุณชื่อชัยหรือเปล่าครับ...ผมเป็นคนที่มีเลขหมายโทรศัพท์มือถือ ใกล้เคียงกับคุณ คือ คุณพ่อคุณคงกดเบอร์ผิด
และฝากข้อความไว้ที่ Voice Mail ของผม คือ ท่านบอกว่า เค้ากำลังจะเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาลทีโคราชอาทิตย์หน้า.... '
ผมวางสาย...เบอร์โทรที่เป็น...เป้าหมายสุดท้าย...เสร็จสิ้นไปแล้ว...
ผมพยายามปลอบใจตัวเองว่า...ผมทำดีที่สุดแล้ว...และไม่ควรรู้สึกผิดอะไรอีก
ผมหลับตานึกภาพพ่อของคนที่ชื่อชัย....ที่ต้องนอนป่วยโดดเดียวที่โรงพยาบาล
ผมได้แต่หวังว่า เค้าจะมีช่องทางการติดต่อสื่อสารอย่างอื่นที่ทำให้สองคนนี้ได้คุยกันได้
แต่แล้ว...สวรรค์ ก็คงมีตาอยู่บ้าง...
(จริงๆผมว่า สวรรค์น่าจะมี Call Center เพราะถ้ามีแค่ตาบางทีอาจจะมองไม่เห็นทุกคนที่เดือดร้อน...)

แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์จากเลขหมายหนึ่งเข้ามา.... นั่นคือ...เลขหมายสุดท้ายที่ผมฝากข้อความไว้ใน Voice Mail นั้นเอง
'ขอโทษนะครับ...คุณใช่คนที่ฝากข้อความไว้ใน Voice mail ของผมหรือเปล่า? ผมชื่อชัย…'
และแล้ว...ภาระกิจอันยิ่งใหญ่...ของผมก็สำเร็จ...เมื่อคนที่ชัยโทรกลับมาจริงๆ

แม้ในน้ำเสียงของเค้าดูจะไม่ค่อยไว้วางใจกับเรื่องที่ผมเล่าเท่าไหร่...และยังสงสัยอยู่หลายประเด็น
แต่เมื่อผมบอกว่า...เขาสามารถโทรไปสอบถาม ที่โรงพยาบาลโคราชได้ว่ามีชื่อพ่อเค้าอยู่หรือเปล่า
เขาวางหูและเงียบหายไปพัก...และโทรกลับมาขอบคุณผม
เพราะที่โรงพยาบาลโคราชยืนยันว่ามีคนป่วยเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายที่ชื่อตรงกับคุณพ่อของเค้าจริงๆ
ผม...อึงไปพัก..เมื่อรู้ว่า...น้ำเสียงล้าๆ...ที่ผมได้ยินจาก Voice Mail Box นั้นเกิดจากการเป็นโรคร้ายระยะสุดท้าย..
ชัยรีบเดินทางกลับไปโคราช เขาไปถึงก่อนที่พ่อจะผ่าตัด..

แค่หนึ่งวัน ชัย โทรมาขอบคุณผมอีกครั้ง
เขาเล่าว่าสาเหตุที่..เขาต้องปิดมือถือ หนีหน้าครอบครัว..และคนอื่น..
เพราะธุรกิจที่เขาที่กรุงเทพมีปัญหา...เขาต้องหนีเจ้าหนี้...ที่ตามทวงอย่างหนัก
เขาบอกว่า...แต่สิ่งที่โชคดีที่สุดของเขา..ตอนนี้ อย่างน้อย เขาก็ได้มีเวลาได้ดูแลพ่อ แม้จะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายก็ตาม
ผมยังเก็บข้อความเสียง ของคุณพ่อของชัยเอาไว้ และ แอบกด เข้าไปฟังอีกหลายครั้ง
เพราะ ท่ามกลางชีวิตที่ยุ่งวุ่นวาย..จนไม่มีเวลาจะสนใจคนอื่น..ของผม

ข้อความเสียงนั้น ใน Voice Mail Box ที่ผมได้รับโดยบังเอิญนั้น...คอยเตือนให้ผมรู้ซึ้ง ถึงความหมายของคำว่า
'การที่เรายอมลำบากเพียงเล็กน้อย...เพื่อคนอื่นบ้างนั้น
ใครจะรู้ว่า...บางที มันอาจจะหมายถึงสิ่งที่มีค่าที่สุดของอีกคนหนึ่งก็ได้'


น่าคิดเหมือนกันนะ

Friday, January 4, 2008

หนึ่งวันกะสมธีร์

หลังจากที่ได้ ฮาโหล กะน้องธีร์จนละลายไปรอบนึงแล้ว น้องธีร์ก็มีมุขเล่นเองที่บ้าน เอาโทสับของป๊ามา ฮาโหล พอหม่าม้าของธีร์ถามว่า คุยกะใคร ธีร์ก็บอกว่า คุยกะอี๊ปุ๊ โอยยยย เจอมุขนี้ ละลายอีกรอบ

สองวันก่อนนั้นได้คุยโทสับกะน้องธีร์ ธีร์ก็มาคิดถึงค้าบ พอถามว่าอยากได้อะไร ธีร์ถึงกะขอสมบัติเลยทีเดียว คาดว่าจะโดนเสี้ยมมาโดยนะบีแน่ๆ

วันก่อนได้โอกาส ก็เลยเอาของฝากไปให้บีที่บ้านก่อนที่บีจะกลับไปแมวเบิ้น แต่ที่จริงเป็นข้ออ้างแอบไปทำคะแนนกับน้องธีร์ อิ อิ..
พอไปถึงธีร์ยังไม่ตื่นจากการนอนตอนบ่าย บีก็เลยเอาคลิปน้องธีร์ไปเต้นๆกะพี่มิกกี้เม้าส์มาโชว์ ดูไปซักพักโมอิ๊ก็อุ้มน้องธีร์ที่เพิ่งตื่นนอนมาหา เจอกันทีแรกธีร์ทำเขิน เลยต้องเล่นมุขซ่อนๆ รถเหาะ เรือเหาะหลอกล่อ ธีร์ก็ขำ แต่ก็ยังเล่นตัว ทำเขิน แต่แล้วก็เล่นและยอมให้อุ้มแต่โดยดี เพราะน้องธีร์ได้หมายตาสมบัติที่คอของปุ๊ และตุ๊กตา Piglet ในรถปุ๊เอาไว้ สุดท้ายธีร์ก็ได้เอาสร้อยคอของปุ๊ไปครอบครองจนได้ ท่าทางจะชอบเอามากๆซะด้วย (เอิ่ม.. คงจะโดนน้องทีน่าเข้าสิง)

นั่งเล่นอยู่นานจนอาม่าของธีร์ชวนกินข้าว เราก็เกรงใจ อาม่าเลยส่งน้องธีร์มาเรียกไปกินข้าว จูงมือไปเลย เจอมุขนี้อี๊ปุ๊ก็หลงหนักเข้าไปอีก hahaha...

กินข้าวเสร็จ นั่งดูธีร์กินข้าว แล้วธีร์ก็ปวดอึ๊ จนหม่าม้าต้องรีบอุ้มไปห้องน้ำ ปุ๊ก็เลยกลับบ้าน ออกมาได้แป๊บเดียว นะบีก็โทรมารายงานว่า บีเดินเข้าไปให้กำลังใจน้องธีร์ น้องธีร์ก็สั่งนะบีว่า ธีร์อึ๊อยู่ค้าบ อี๊ปุ๊กลับไปก่อน hahahaha..

แถมเช้านี้ธีร์ตื่นเช้ามา ก็เดินไปหานะบีในห้อง แล้วถามว่า อี๊ปุ๊อยู่หนาย อี๊ปุ๊ซ่อนๆ ... กรี๊ดๆๆๆๆ ได้ใจจริงๆเด็กคนนี้

แดดมันร้อน น้องธีร์คงจะแสบตา

ชี้ชวนกันดูปลาทองในบ่อ ปล. สังเกตุดูที่คอของสมธีร์

Monday, December 31, 2007

"ฮาโหล... คิดถึงค้าบบบ"

Happy New Year 2008 ขอให้พี่น้องทั้งหลายมีความสุขกันมากๆ คิดสิ่งใดก็ขอให้สมความปรารถนา มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์นะค้า

ช่วงปีใหม่นี้ เพื่อคง concept คนสวยใจบุญ ปุ๊ก็เลยขยันไหว้พระทำบุญเป็นพิเศษ สองสามวันก่อนไปถวายสังฆทานที่วัดชลประทานฯ บริจาคเงินและสิ่งของที่บ้านเฟื่องฟ้า ไหว้พระที่วัดบวรฯ แล้วก็เลยเดินเล่นแถวบางลำพู เลยไปเจอชุดนอนหมาน้อยลายจุดน่ารักเชียว ก็เลยปิ๊งไอเดียว่าน่าจะซื้อไปฝากน้องธีร์ นะบีก็เลยส่งรูปน้องธีร์กะชุดน้องหมาจุดมาให้ดู น่ารักจริงจริ๊งงงง

แต่ที่น่ารักกว่านั้นนะ วันก่อนโทรไปหาบี แต่คนที่รับโทสับกลับเป็นน้องธีร์สุดเลิฟซะนั่น พอรับโทสับปั๊บ "ฮาโหล... คิดถึงค้าบบบ" โอ้ มาย บุดดา... อึ้งไปเลยคับ พอมีสติกลับมาก็ กรี๊ดๆๆๆ เด็กอาไร๊ปากหวานขนาดนี้ อาม่ายังแซวว่า น้องธีร์ปากเคลือบช็อคโกแลตหรือเปล่าเนี่ยะ คิกๆๆๆ น้องธีร์อยากได้ไรบอกมาเลย (แต่จะหามาให้หรือเปล่าอีกเรื่องนึงนะ) แถมพอกรี๊ดไปธีร์ก็ คิดถึงค้าบมาอีก โอย... ละลายยย

งานนี้นะบีบอกว่า ไม่ได้สอนนะ เด็กเค้าเป็นเองงง

Wednesday, December 26, 2007

ไก่เหลืองทริป

ช่วงปีใหม่นี้ ชาวเราได้กลับมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตากัน บีและหมีย้ากก็ได้กลับมาจากแมวเบิ้น พี่อรก็ได้กลับมาจากซิดนีย์ (และไม่ต้องไปอีกแล้ว) น้องตุ๊กกะติ๊กก็กลับมาจากเมกา พร้อมด้วยของฝากมากมาย อิ อิ... เสียดายที่อ๋อมแอ๋มไม่ได้มาด้วย ครอบครัวราชนิกูลเราเลยขาดสมาชิกไปหนึ่งคน

วันก่อนเราก็เลยไปฉลอง Christmas Eve กันที่หาดจอมเทียน พัทยา จกส้มตำไก่เหลืองกันอย่างหนุกหนานริมหาด แถมจับฉลากของขวัญแนวขำๆกัน พี่อรได้ตุ๊กตาวูดูจากติ๊ก หมีย้ากได้พระแก้วมรกตจากดั้วะ ดั้วะได้กระเป๋าผ้าจากพี่อร ติ๊กได้โปงลางสะออนจากบี บีได้นวมเกาหลังจากน้องแก้ว แก้วได้ปลาสลิดทอด แถมเซ็ท shower gel กะโลชั่น เพราะราคาไม่ถึง 500 ที่ตั้งเอาไว้จากปุ๊เอง และปุ๊ได้เสื้อและกางเกงมวยไทยจากหมีย้าก ขำมั้ยล่ะ

ถ่ายรูปกันระหว่างรออาหาร

พี่อรที่ริมหาดหน้าร้านนายแกละ 3

หมีย้าก

ปุ๊กะบี

จับฉลากกันที่ริมหาด

โดยใช้ถั่วฝักยาวที่มากะส้มตำเป็นฉลาก apply กันสุดๆ

อิ่มหนำสำราญกันแล้ว เราก็ย้ายไปเดินชม สุขาวดี ที่เป็นบ้านของเจ้าของสหฟาร์ม โอ้..มาย บุดดา ไม่รู้ว่าอะไรมาดลใจให้เค้าทาสีบ้านแบบนั้น แต่ก็เราก็หนุกหนานกันตามประสาได้อยู่กันพร้อมหน้า ฮากระจาย

บีกะเครื่องดับเพลิงที่บีชอบกดเล่นซะเหลือเกิน (อยากรู้ว่าทำไมหรือคิดไรเนี่ยะ ก็ไปถามบีเอาเองนะ)

แก้ว ก้าว ก้อย หรือแน้ช


คุณพี่เสื้อเหลืองนั่นเค้าขับรถกอล์ฟ ไม่ได้เป็นชาวเรานะ
Bird Eye View

มุมโต๊ะอาหารกับรูปภาพเสด็จพ่อรัชกาลที่ 5