ฟังเพลง Live and Learn
"เมื่อวันที่ชีวิต เดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยน จนบางครั้งคนเราไม่ทันได้ตระเตรียมหัวใจ
ความสุขความทุกข์ ไม่มีใครรู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ จะยอมรับความจริงที่เจอได้แค่ไหน
เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป มีสุขสมมีผิดหวัง
หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน
อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
สุขก็เตรียมไว้ ว่าความทุกข์คงตามมาอีกไม่ไกล
จะได้รับความจริงเมื่อต้องเจ็บปวดไหว
เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป มีสุขสมมีผิดหวัง
หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน
อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด"
ชื่อเพลง : ลีฟ แอนด์ เลิร์น (Live and Learn)
ศิลปิน : กมลา สุโกศล แคลป์ โดยบอย โกสิยพงษ์
album: Millions Way to Love
Monday, January 14, 2008
Tuesday, January 8, 2008
ชีวิตคือความบังเอิญ
วันนี้ได้ forwarded email มา 2 อัน เกี่ยวกับ "ความบังเอิญ" คิดไปคิดมา มันดูเกี่ยวข้องกันโดยบังเอิญจริงๆ เพราะเมล์สองอันนั้นส่งมาจากคนละคนกัน แต่พออ่านแล้วก็เลยคิดขึ้นมาว่า ในชีวิตเรา มีความบังเอิญบ่อยแค่ไหนที่เกิดขึ้น แล้วจะเปลี่ยนชีวิตเราหรือชีวิตของคนที่เกี่ยวข้อง และมันจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหนก็ขึ้นอยู่ที่เราจะเลือกทางเดินนั้นด้วยตัวเราเอง ตามทฤษฎี the 90/10 Principle ของ Stephen Covey เค้าบอกว่า 10% of life is made up of what happens to you. 90% of life is decided by how you react.
อืม... น่าคิด ทีนี้มาลองอ่านเรื่องข้างล่างนี่ดูนะ
ข้อความบังเอิญ....
'มีคนเคยบอกว่า...ชีวิตคือความบังเอิญ..แต่ความบังเอิญบางครั้งก็เปลี่ยนแปลง..มุมมองเราใหม่ทั้งชีวิต '
ผมไม่เคยเชื่อในข้อความนี้...จนกระทั่งวันธรรมดาวันหนึ่ง ที่ผมเปิดมือถือขึ้นตอนเช้า
ผมได้รับข้อความ SMS บอกว่า ผมมีข้อความเสียงฝากไว้ ใน Voice Mail Box ของผมให้โทรเข้าไปฟัง...
ผมกด เข้าไปฟัง แต่พอฟัง...ผมกลับรู้สึกแปลกใจใหญ่เพราะเสียงของคนที่ฝากข้อความไว้นั้นผมไม่คุ้นเอาเสียเลย...
และยิ่งฟังข้อความที่ฝากไว้...ยิ่งน่าจะไม่เกี่ยวกับผมเลยด้วยซ้ำ แต่เสียงเศร้า ของชายสูงวัยนั้น ทำให้ผมสะดุดใจผมอย่างยิ่ง
'ชัย...นี่พ่อนะ พ่อพยายามติดต่อลูกหลายครั้ง แต่ติดต่อไม่ได้ คือ พ่อต้องเข้ารพ.ไปผ่าตัดอาทิตย์หน้า และหมอให้พ่ออยู่ที่
โรงพยาบาลตั้งแต่พรุ่งนี้..ที่บ้านไม่มีคนอยู่..ถ้าลูกว่างก็แวะมาได้ที่ โรงพยาบาลโคราช บางทีพ่ออาจจะเหลือเวลาไม่มาก......'
เสียงปลายทาง..สิ้นสุดลง ผมอึ้งและ...งง กับข้อความที่เพิ่งฟังจบไป อยู่พักหนึ่ง
ผมไม่ได้ชื่อชัย...และผม ก็ไม่มีพ่ออยู่โคราช พ่อผมเสียไปนานมากแล้ว...
ผู้ชายคนนั้นคง..กดเบอร์โทรผิด ผมคิดแค่นั้น และพยายามไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ผมเพิ่งฟังมา
ทำไมต้องสนใจ????..มันไม่เกี่ยวกับผม..!
แต่ตลอดวันนั้น เสียงล้าๆ เหนื่อยๆ ของชายคนนั้นที่ฝากไว้ใน Voice Mail Box วนเวียนเข้ามารบกวนใจผมเป็นระยะ...
ผมได้แต่คิดว่า ผมมีสิทธิ์ที่จะลืมมัน? มันไม่ใช่หน้าที่อะไรของผมที่จะต้องสนใจ กับแค่การฝากข้อความผิดเบอร์...
แต่ประโยค ' บางทีพ่ออาจจะเหลือเวลาไม่มากนัก......' มันทำให้ผมรู้สึกแย่ หากไม่ลุกมาทำอะไรสักอย่าง
ผมตัดสินใจโทรกลับไปที่หมายเลขที่โทรมาฝากข้อความไว้....ซึ่งเป็นโทรศัพท์บ้าน...
ผมโทรไปหลายต่อหลายครั้ง ไม่มีคนรับสาย....ใช่ป่านนี้เค้าคงอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว
ผมได้แต่ถอนใจและพยายามบอกว่าตัวเองทำดีที่สุดแล้ว...
แต่ตอนเย็นของวันนั้น ในที่สุด ความสำนึกดี..(ที่มีอยู่ไม่มากนักในตัวผม)
ก็(ดัน) ดลบันดาลในให้ผม หาทางออกได้ว่า ผมน่าจะลองโทรไปหาเบอร์มือถือที่ใกล้เคียงกับผมดู
เผื่อบางที อาจจะมีเบอร์ใด...ที่อาจจะเป็น ลูกชายของคนที่ฝากข้อความไว้ก็ได้
เพราะถ้ากดผิดได้แสดงว่าหมายเลขคงจะห่างกันไม่มาก
ผมตัดสินใจไล่...กดเบอร์มือถือ ที่ใกล้เคียงกับเลขหมายโทรศัพท์ของผม ตั้งใจว่าจะกด แค่สิบเบอร์แรก...เท่านั้น
โดยเรียงจากเลขที่ใกล้เคียงกันมากที่สุด...ผมทำมันด้วยความไม่เต็มใจเท่าไหร่นักหรอก..
เพราะมันไม่สนุกเลยที่คุณจะต้องโทรไปหาใครที่ไม่รู้จักแล้วบอกเค้าว่า
'สวัสดีครับ คุณชื่อชัยหรือเปล่าครับ...ผมเป็นคนที่มีเลขหมายโทรศัพท์มือถือ ใกล้เคียงกับคุณ คือ คุณพ่อคุณคงกดเบอร์ผิด
และฝากข้อความไว้ที่ Voice Mail ของผม คือ ท่านบอกว่า เค้ากำลังจะเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาลทีโคราชอาทิตย์หน้า.... '
ทายซิครับ...ผมได้รับคำตอบ....อะไรบ้าง?
บ้างก็วางสายใส่อย่างไม่ปราณี...
บ้าง..ก็ถามกลับมาว่า คุณบ้าหรือเปล่า?
แต่คำตอบยอดนิยมที่ผมได้รับ...คือ....'ขอโทษนะค่ะ...ดิฉันไม่ซื้อประกันตอนนี้...และทำบัตรเครดิตครบทุกธนาคารแล้วค่ะ'
ผมอยากจะบ้าตาย..ผมไม่ได้พูดอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องประกัน กับ บัตรเครคิตซะหน่อย..เฮ้อ...
บางที...คนสมัยนี้ คงยุ่งเกินกว่าที่จะ คุยกับคนแปลกหน้า..ก็ได้...มั้ง……
ผมนึกโกรธ เจ้าความสำนึกดีในตัวเอง...ที่มันยังดึงดันพยายามต่อ...
จากที่ตั้งใจว่า จะโทรแค่ 10 เบอร์ที่ใกล้เคียงเท่านั้น แล้วผมก็ลามปราม...โทรไปถึง..สามสิบเบอร์
แต่ในที่สุด..ผมก็ต้อง..ถอนใจ ...หมดหวัง..เมื่อเบอร์สุดท้ายก็ติดต่อไม่ได้
ผม...ตัดสินใจฝากข้อความ Voice Mail ของหมายเลขที่ผมลองสุ่มโทรไป... ด้วยประโยคที่ผมพูดซ้ำกันมากกว่า 30 รอบ อย่างเชี่ยวชาญ
' สวัสดีครับ คุณชื่อชัยหรือเปล่าครับ...ผมเป็นคนที่มีเลขหมายโทรศัพท์มือถือ ใกล้เคียงกับคุณ คือ คุณพ่อคุณคงกดเบอร์ผิด
และฝากข้อความไว้ที่ Voice Mail ของผม คือ ท่านบอกว่า เค้ากำลังจะเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาลทีโคราชอาทิตย์หน้า.... '
ผมวางสาย...เบอร์โทรที่เป็น...เป้าหมายสุดท้าย...เสร็จสิ้นไปแล้ว...
ผมพยายามปลอบใจตัวเองว่า...ผมทำดีที่สุดแล้ว...และไม่ควรรู้สึกผิดอะไรอีก
ผมหลับตานึกภาพพ่อของคนที่ชื่อชัย....ที่ต้องนอนป่วยโดดเดียวที่โรงพยาบาล
ผมได้แต่หวังว่า เค้าจะมีช่องทางการติดต่อสื่อสารอย่างอื่นที่ทำให้สองคนนี้ได้คุยกันได้
แต่แล้ว...สวรรค์ ก็คงมีตาอยู่บ้าง...
(จริงๆผมว่า สวรรค์น่าจะมี Call Center เพราะถ้ามีแค่ตาบางทีอาจจะมองไม่เห็นทุกคนที่เดือดร้อน...)
แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์จากเลขหมายหนึ่งเข้ามา.... นั่นคือ...เลขหมายสุดท้ายที่ผมฝากข้อความไว้ใน Voice Mail นั้นเอง
'ขอโทษนะครับ...คุณใช่คนที่ฝากข้อความไว้ใน Voice mail ของผมหรือเปล่า? ผมชื่อชัย…'
และแล้ว...ภาระกิจอันยิ่งใหญ่...ของผมก็สำเร็จ...เมื่อคนที่ชัยโทรกลับมาจริงๆ
แม้ในน้ำเสียงของเค้าดูจะไม่ค่อยไว้วางใจกับเรื่องที่ผมเล่าเท่าไหร่...และยังสงสัยอยู่หลายประเด็น
แต่เมื่อผมบอกว่า...เขาสามารถโทรไปสอบถาม ที่โรงพยาบาลโคราชได้ว่ามีชื่อพ่อเค้าอยู่หรือเปล่า
เขาวางหูและเงียบหายไปพัก...และโทรกลับมาขอบคุณผม
เพราะที่โรงพยาบาลโคราชยืนยันว่ามีคนป่วยเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายที่ชื่อตรงกับคุณพ่อของเค้าจริงๆ
ผม...อึงไปพัก..เมื่อรู้ว่า...น้ำเสียงล้าๆ...ที่ผมได้ยินจาก Voice Mail Box นั้นเกิดจากการเป็นโรคร้ายระยะสุดท้าย..
ชัยรีบเดินทางกลับไปโคราช เขาไปถึงก่อนที่พ่อจะผ่าตัด..
แค่หนึ่งวัน ชัย โทรมาขอบคุณผมอีกครั้ง
เขาเล่าว่าสาเหตุที่..เขาต้องปิดมือถือ หนีหน้าครอบครัว..และคนอื่น..
เพราะธุรกิจที่เขาที่กรุงเทพมีปัญหา...เขาต้องหนีเจ้าหนี้...ที่ตามทวงอย่างหนัก
เขาบอกว่า...แต่สิ่งที่โชคดีที่สุดของเขา..ตอนนี้ อย่างน้อย เขาก็ได้มีเวลาได้ดูแลพ่อ แม้จะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายก็ตาม
ผมยังเก็บข้อความเสียง ของคุณพ่อของชัยเอาไว้ และ แอบกด เข้าไปฟังอีกหลายครั้ง
เพราะ ท่ามกลางชีวิตที่ยุ่งวุ่นวาย..จนไม่มีเวลาจะสนใจคนอื่น..ของผม
ข้อความเสียงนั้น ใน Voice Mail Box ที่ผมได้รับโดยบังเอิญนั้น...คอยเตือนให้ผมรู้ซึ้ง ถึงความหมายของคำว่า
'การที่เรายอมลำบากเพียงเล็กน้อย...เพื่อคนอื่นบ้างนั้น
ใครจะรู้ว่า...บางที มันอาจจะหมายถึงสิ่งที่มีค่าที่สุดของอีกคนหนึ่งก็ได้'
น่าคิดเหมือนกันนะ
อืม... น่าคิด ทีนี้มาลองอ่านเรื่องข้างล่างนี่ดูนะ
ข้อความบังเอิญ....
'มีคนเคยบอกว่า...ชีวิตคือความบังเอิญ..แต่ความบังเอิญบางครั้งก็เปลี่ยนแปลง..มุมมองเราใหม่ทั้งชีวิต '
ผมไม่เคยเชื่อในข้อความนี้...จนกระทั่งวันธรรมดาวันหนึ่ง ที่ผมเปิดมือถือขึ้นตอนเช้า
ผมได้รับข้อความ SMS บอกว่า ผมมีข้อความเสียงฝากไว้ ใน Voice Mail Box ของผมให้โทรเข้าไปฟัง...
ผมกด เข้าไปฟัง แต่พอฟัง...ผมกลับรู้สึกแปลกใจใหญ่เพราะเสียงของคนที่ฝากข้อความไว้นั้นผมไม่คุ้นเอาเสียเลย...
และยิ่งฟังข้อความที่ฝากไว้...ยิ่งน่าจะไม่เกี่ยวกับผมเลยด้วยซ้ำ แต่เสียงเศร้า ของชายสูงวัยนั้น ทำให้ผมสะดุดใจผมอย่างยิ่ง
'ชัย...นี่พ่อนะ พ่อพยายามติดต่อลูกหลายครั้ง แต่ติดต่อไม่ได้ คือ พ่อต้องเข้ารพ.ไปผ่าตัดอาทิตย์หน้า และหมอให้พ่ออยู่ที่
โรงพยาบาลตั้งแต่พรุ่งนี้..ที่บ้านไม่มีคนอยู่..ถ้าลูกว่างก็แวะมาได้ที่ โรงพยาบาลโคราช บางทีพ่ออาจจะเหลือเวลาไม่มาก......'
เสียงปลายทาง..สิ้นสุดลง ผมอึ้งและ...งง กับข้อความที่เพิ่งฟังจบไป อยู่พักหนึ่ง
ผมไม่ได้ชื่อชัย...และผม ก็ไม่มีพ่ออยู่โคราช พ่อผมเสียไปนานมากแล้ว...
ผู้ชายคนนั้นคง..กดเบอร์โทรผิด ผมคิดแค่นั้น และพยายามไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ผมเพิ่งฟังมา
ทำไมต้องสนใจ????..มันไม่เกี่ยวกับผม..!
แต่ตลอดวันนั้น เสียงล้าๆ เหนื่อยๆ ของชายคนนั้นที่ฝากไว้ใน Voice Mail Box วนเวียนเข้ามารบกวนใจผมเป็นระยะ...
ผมได้แต่คิดว่า ผมมีสิทธิ์ที่จะลืมมัน? มันไม่ใช่หน้าที่อะไรของผมที่จะต้องสนใจ กับแค่การฝากข้อความผิดเบอร์...
แต่ประโยค ' บางทีพ่ออาจจะเหลือเวลาไม่มากนัก......' มันทำให้ผมรู้สึกแย่ หากไม่ลุกมาทำอะไรสักอย่าง
ผมตัดสินใจโทรกลับไปที่หมายเลขที่โทรมาฝากข้อความไว้....ซึ่งเป็นโทรศัพท์บ้าน...
ผมโทรไปหลายต่อหลายครั้ง ไม่มีคนรับสาย....ใช่ป่านนี้เค้าคงอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว
ผมได้แต่ถอนใจและพยายามบอกว่าตัวเองทำดีที่สุดแล้ว...
แต่ตอนเย็นของวันนั้น ในที่สุด ความสำนึกดี..(ที่มีอยู่ไม่มากนักในตัวผม)
ก็(ดัน) ดลบันดาลในให้ผม หาทางออกได้ว่า ผมน่าจะลองโทรไปหาเบอร์มือถือที่ใกล้เคียงกับผมดู
เผื่อบางที อาจจะมีเบอร์ใด...ที่อาจจะเป็น ลูกชายของคนที่ฝากข้อความไว้ก็ได้
เพราะถ้ากดผิดได้แสดงว่าหมายเลขคงจะห่างกันไม่มาก
ผมตัดสินใจไล่...กดเบอร์มือถือ ที่ใกล้เคียงกับเลขหมายโทรศัพท์ของผม ตั้งใจว่าจะกด แค่สิบเบอร์แรก...เท่านั้น
โดยเรียงจากเลขที่ใกล้เคียงกันมากที่สุด...ผมทำมันด้วยความไม่เต็มใจเท่าไหร่นักหรอก..
เพราะมันไม่สนุกเลยที่คุณจะต้องโทรไปหาใครที่ไม่รู้จักแล้วบอกเค้าว่า
'สวัสดีครับ คุณชื่อชัยหรือเปล่าครับ...ผมเป็นคนที่มีเลขหมายโทรศัพท์มือถือ ใกล้เคียงกับคุณ คือ คุณพ่อคุณคงกดเบอร์ผิด
และฝากข้อความไว้ที่ Voice Mail ของผม คือ ท่านบอกว่า เค้ากำลังจะเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาลทีโคราชอาทิตย์หน้า.... '
ทายซิครับ...ผมได้รับคำตอบ....อะไรบ้าง?
บ้างก็วางสายใส่อย่างไม่ปราณี...
บ้าง..ก็ถามกลับมาว่า คุณบ้าหรือเปล่า?
แต่คำตอบยอดนิยมที่ผมได้รับ...คือ....'ขอโทษนะค่ะ...ดิฉันไม่ซื้อประกันตอนนี้...และทำบัตรเครดิตครบทุกธนาคารแล้วค่ะ'
ผมอยากจะบ้าตาย..ผมไม่ได้พูดอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องประกัน กับ บัตรเครคิตซะหน่อย..เฮ้อ...
บางที...คนสมัยนี้ คงยุ่งเกินกว่าที่จะ คุยกับคนแปลกหน้า..ก็ได้...มั้ง……
ผมนึกโกรธ เจ้าความสำนึกดีในตัวเอง...ที่มันยังดึงดันพยายามต่อ...
จากที่ตั้งใจว่า จะโทรแค่ 10 เบอร์ที่ใกล้เคียงเท่านั้น แล้วผมก็ลามปราม...โทรไปถึง..สามสิบเบอร์
แต่ในที่สุด..ผมก็ต้อง..ถอนใจ ...หมดหวัง..เมื่อเบอร์สุดท้ายก็ติดต่อไม่ได้
ผม...ตัดสินใจฝากข้อความ Voice Mail ของหมายเลขที่ผมลองสุ่มโทรไป... ด้วยประโยคที่ผมพูดซ้ำกันมากกว่า 30 รอบ อย่างเชี่ยวชาญ
' สวัสดีครับ คุณชื่อชัยหรือเปล่าครับ...ผมเป็นคนที่มีเลขหมายโทรศัพท์มือถือ ใกล้เคียงกับคุณ คือ คุณพ่อคุณคงกดเบอร์ผิด
และฝากข้อความไว้ที่ Voice Mail ของผม คือ ท่านบอกว่า เค้ากำลังจะเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาลทีโคราชอาทิตย์หน้า.... '
ผมวางสาย...เบอร์โทรที่เป็น...เป้าหมายสุดท้าย...เสร็จสิ้นไปแล้ว...
ผมพยายามปลอบใจตัวเองว่า...ผมทำดีที่สุดแล้ว...และไม่ควรรู้สึกผิดอะไรอีก
ผมหลับตานึกภาพพ่อของคนที่ชื่อชัย....ที่ต้องนอนป่วยโดดเดียวที่โรงพยาบาล
ผมได้แต่หวังว่า เค้าจะมีช่องทางการติดต่อสื่อสารอย่างอื่นที่ทำให้สองคนนี้ได้คุยกันได้
แต่แล้ว...สวรรค์ ก็คงมีตาอยู่บ้าง...
(จริงๆผมว่า สวรรค์น่าจะมี Call Center เพราะถ้ามีแค่ตาบางทีอาจจะมองไม่เห็นทุกคนที่เดือดร้อน...)
แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์จากเลขหมายหนึ่งเข้ามา.... นั่นคือ...เลขหมายสุดท้ายที่ผมฝากข้อความไว้ใน Voice Mail นั้นเอง
'ขอโทษนะครับ...คุณใช่คนที่ฝากข้อความไว้ใน Voice mail ของผมหรือเปล่า? ผมชื่อชัย…'
และแล้ว...ภาระกิจอันยิ่งใหญ่...ของผมก็สำเร็จ...เมื่อคนที่ชัยโทรกลับมาจริงๆ
แม้ในน้ำเสียงของเค้าดูจะไม่ค่อยไว้วางใจกับเรื่องที่ผมเล่าเท่าไหร่...และยังสงสัยอยู่หลายประเด็น
แต่เมื่อผมบอกว่า...เขาสามารถโทรไปสอบถาม ที่โรงพยาบาลโคราชได้ว่ามีชื่อพ่อเค้าอยู่หรือเปล่า
เขาวางหูและเงียบหายไปพัก...และโทรกลับมาขอบคุณผม
เพราะที่โรงพยาบาลโคราชยืนยันว่ามีคนป่วยเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายที่ชื่อตรงกับคุณพ่อของเค้าจริงๆ
ผม...อึงไปพัก..เมื่อรู้ว่า...น้ำเสียงล้าๆ...ที่ผมได้ยินจาก Voice Mail Box นั้นเกิดจากการเป็นโรคร้ายระยะสุดท้าย..
ชัยรีบเดินทางกลับไปโคราช เขาไปถึงก่อนที่พ่อจะผ่าตัด..
แค่หนึ่งวัน ชัย โทรมาขอบคุณผมอีกครั้ง
เขาเล่าว่าสาเหตุที่..เขาต้องปิดมือถือ หนีหน้าครอบครัว..และคนอื่น..
เพราะธุรกิจที่เขาที่กรุงเทพมีปัญหา...เขาต้องหนีเจ้าหนี้...ที่ตามทวงอย่างหนัก
เขาบอกว่า...แต่สิ่งที่โชคดีที่สุดของเขา..ตอนนี้ อย่างน้อย เขาก็ได้มีเวลาได้ดูแลพ่อ แม้จะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายก็ตาม
ผมยังเก็บข้อความเสียง ของคุณพ่อของชัยเอาไว้ และ แอบกด เข้าไปฟังอีกหลายครั้ง
เพราะ ท่ามกลางชีวิตที่ยุ่งวุ่นวาย..จนไม่มีเวลาจะสนใจคนอื่น..ของผม
ข้อความเสียงนั้น ใน Voice Mail Box ที่ผมได้รับโดยบังเอิญนั้น...คอยเตือนให้ผมรู้ซึ้ง ถึงความหมายของคำว่า
'การที่เรายอมลำบากเพียงเล็กน้อย...เพื่อคนอื่นบ้างนั้น
ใครจะรู้ว่า...บางที มันอาจจะหมายถึงสิ่งที่มีค่าที่สุดของอีกคนหนึ่งก็ได้'
น่าคิดเหมือนกันนะ
Friday, January 4, 2008
หนึ่งวันกะสมธีร์
หลังจากที่ได้ ฮาโหล กะน้องธีร์จนละลายไปรอบนึงแล้ว น้องธีร์ก็มีมุขเล่นเองที่บ้าน เอาโทสับของป๊ามา ฮาโหล พอหม่าม้าของธีร์ถามว่า คุยกะใคร ธีร์ก็บอกว่า คุยกะอี๊ปุ๊ โอยยยย เจอมุขนี้ ละลายอีกรอบ
สองวันก่อนนั้นได้คุยโทสับกะน้องธีร์ ธีร์ก็มาคิดถึงค้าบ พอถามว่าอยากได้อะไร ธีร์ถึงกะขอสมบัติเลยทีเดียว คาดว่าจะโดนเสี้ยมมาโดยนะบีแน่ๆ
วันก่อนได้โอกาส ก็เลยเอาของฝากไปให้บีที่บ้านก่อนที่บีจะกลับไปแมวเบิ้น แต่ที่จริงเป็นข้ออ้างแอบไปทำคะแนนกับน้องธีร์ อิ อิ..
พอไปถึงธีร์ยังไม่ตื่นจากการนอนตอนบ่าย บีก็เลยเอาคลิปน้องธีร์ไปเต้นๆกะพี่มิกกี้เม้าส์มาโชว์ ดูไปซักพักโมอิ๊ก็อุ้มน้องธีร์ที่เพิ่งตื่นนอนมาหา เจอกันทีแรกธีร์ทำเขิน เลยต้องเล่นมุขซ่อนๆ รถเหาะ เรือเหาะหลอกล่อ ธีร์ก็ขำ แต่ก็ยังเล่นตัว ทำเขิน แต่แล้วก็เล่นและยอมให้อุ้มแต่โดยดี เพราะน้องธีร์ได้หมายตาสมบัติที่คอของปุ๊ และตุ๊กตา Piglet ในรถปุ๊เอาไว้ สุดท้ายธีร์ก็ได้เอาสร้อยคอของปุ๊ไปครอบครองจนได้ ท่าทางจะชอบเอามากๆซะด้วย (เอิ่ม.. คงจะโดนน้องทีน่าเข้าสิง)
นั่งเล่นอยู่นานจนอาม่าของธีร์ชวนกินข้าว เราก็เกรงใจ อาม่าเลยส่งน้องธีร์มาเรียกไปกินข้าว จูงมือไปเลย เจอมุขนี้อี๊ปุ๊ก็หลงหนักเข้าไปอีก hahaha...
กินข้าวเสร็จ นั่งดูธีร์กินข้าว แล้วธีร์ก็ปวดอึ๊ จนหม่าม้าต้องรีบอุ้มไปห้องน้ำ ปุ๊ก็เลยกลับบ้าน ออกมาได้แป๊บเดียว นะบีก็โทรมารายงานว่า บีเดินเข้าไปให้กำลังใจน้องธีร์ น้องธีร์ก็สั่งนะบีว่า ธีร์อึ๊อยู่ค้าบ อี๊ปุ๊กลับไปก่อน hahahaha..
แถมเช้านี้ธีร์ตื่นเช้ามา ก็เดินไปหานะบีในห้อง แล้วถามว่า อี๊ปุ๊อยู่หนาย อี๊ปุ๊ซ่อนๆ ... กรี๊ดๆๆๆๆ ได้ใจจริงๆเด็กคนนี้
สองวันก่อนนั้นได้คุยโทสับกะน้องธีร์ ธีร์ก็มาคิดถึงค้าบ พอถามว่าอยากได้อะไร ธีร์ถึงกะขอสมบัติเลยทีเดียว คาดว่าจะโดนเสี้ยมมาโดยนะบีแน่ๆ
วันก่อนได้โอกาส ก็เลยเอาของฝากไปให้บีที่บ้านก่อนที่บีจะกลับไปแมวเบิ้น แต่ที่จริงเป็นข้ออ้างแอบไปทำคะแนนกับน้องธีร์ อิ อิ..
พอไปถึงธีร์ยังไม่ตื่นจากการนอนตอนบ่าย บีก็เลยเอาคลิปน้องธีร์ไปเต้นๆกะพี่มิกกี้เม้าส์มาโชว์ ดูไปซักพักโมอิ๊ก็อุ้มน้องธีร์ที่เพิ่งตื่นนอนมาหา เจอกันทีแรกธีร์ทำเขิน เลยต้องเล่นมุขซ่อนๆ รถเหาะ เรือเหาะหลอกล่อ ธีร์ก็ขำ แต่ก็ยังเล่นตัว ทำเขิน แต่แล้วก็เล่นและยอมให้อุ้มแต่โดยดี เพราะน้องธีร์ได้หมายตาสมบัติที่คอของปุ๊ และตุ๊กตา Piglet ในรถปุ๊เอาไว้ สุดท้ายธีร์ก็ได้เอาสร้อยคอของปุ๊ไปครอบครองจนได้ ท่าทางจะชอบเอามากๆซะด้วย (เอิ่ม.. คงจะโดนน้องทีน่าเข้าสิง)
นั่งเล่นอยู่นานจนอาม่าของธีร์ชวนกินข้าว เราก็เกรงใจ อาม่าเลยส่งน้องธีร์มาเรียกไปกินข้าว จูงมือไปเลย เจอมุขนี้อี๊ปุ๊ก็หลงหนักเข้าไปอีก hahaha...
กินข้าวเสร็จ นั่งดูธีร์กินข้าว แล้วธีร์ก็ปวดอึ๊ จนหม่าม้าต้องรีบอุ้มไปห้องน้ำ ปุ๊ก็เลยกลับบ้าน ออกมาได้แป๊บเดียว นะบีก็โทรมารายงานว่า บีเดินเข้าไปให้กำลังใจน้องธีร์ น้องธีร์ก็สั่งนะบีว่า ธีร์อึ๊อยู่ค้าบ อี๊ปุ๊กลับไปก่อน hahahaha..
แถมเช้านี้ธีร์ตื่นเช้ามา ก็เดินไปหานะบีในห้อง แล้วถามว่า อี๊ปุ๊อยู่หนาย อี๊ปุ๊ซ่อนๆ ... กรี๊ดๆๆๆๆ ได้ใจจริงๆเด็กคนนี้
แดดมันร้อน น้องธีร์คงจะแสบตา
Monday, December 31, 2007
"ฮาโหล... คิดถึงค้าบบบ"
Happy New Year 2008 ขอให้พี่น้องทั้งหลายมีความสุขกันมากๆ คิดสิ่งใดก็ขอให้สมความปรารถนา มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์นะค้า
ช่วงปีใหม่นี้ เพื่อคง concept คนสวยใจบุญ ปุ๊ก็เลยขยันไหว้พระทำบุญเป็นพิเศษ สองสามวันก่อนไปถวายสังฆทานที่วัดชลประทานฯ บริจาคเงินและสิ่งของที่บ้านเฟื่องฟ้า ไหว้พระที่วัดบวรฯ แล้วก็เลยเดินเล่นแถวบางลำพู เลยไปเจอชุดนอนหมาน้อยลายจุดน่ารักเชียว ก็เลยปิ๊งไอเดียว่าน่าจะซื้อไปฝากน้องธีร์ นะบีก็เลยส่งรูปน้องธีร์กะชุดน้องหมาจุดมาให้ดู น่ารักจริงจริ๊งงงง
แต่ที่น่ารักกว่านั้นนะ วันก่อนโทรไปหาบี แต่คนที่รับโทสับกลับเป็นน้องธีร์สุดเลิฟซะนั่น พอรับโทสับปั๊บ "ฮาโหล... คิดถึงค้าบบบ" โอ้ มาย บุดดา... อึ้งไปเลยคับ พอมีสติกลับมาก็ กรี๊ดๆๆๆ เด็กอาไร๊ปากหวานขนาดนี้ อาม่ายังแซวว่า น้องธีร์ปากเคลือบช็อคโกแลตหรือเปล่าเนี่ยะ คิกๆๆๆ น้องธีร์อยากได้ไรบอกมาเลย (แต่จะหามาให้หรือเปล่าอีกเรื่องนึงนะ) แถมพอกรี๊ดไปธีร์ก็ คิดถึงค้าบมาอีก โอย... ละลายยย
งานนี้นะบีบอกว่า ไม่ได้สอนนะ เด็กเค้าเป็นเองงง
ช่วงปีใหม่นี้ เพื่อคง concept คนสวยใจบุญ ปุ๊ก็เลยขยันไหว้พระทำบุญเป็นพิเศษ สองสามวันก่อนไปถวายสังฆทานที่วัดชลประทานฯ บริจาคเงินและสิ่งของที่บ้านเฟื่องฟ้า ไหว้พระที่วัดบวรฯ แล้วก็เลยเดินเล่นแถวบางลำพู เลยไปเจอชุดนอนหมาน้อยลายจุดน่ารักเชียว ก็เลยปิ๊งไอเดียว่าน่าจะซื้อไปฝากน้องธีร์ นะบีก็เลยส่งรูปน้องธีร์กะชุดน้องหมาจุดมาให้ดู น่ารักจริงจริ๊งงงง
แต่ที่น่ารักกว่านั้นนะ วันก่อนโทรไปหาบี แต่คนที่รับโทสับกลับเป็นน้องธีร์สุดเลิฟซะนั่น พอรับโทสับปั๊บ "ฮาโหล... คิดถึงค้าบบบ" โอ้ มาย บุดดา... อึ้งไปเลยคับ พอมีสติกลับมาก็ กรี๊ดๆๆๆ เด็กอาไร๊ปากหวานขนาดนี้ อาม่ายังแซวว่า น้องธีร์ปากเคลือบช็อคโกแลตหรือเปล่าเนี่ยะ คิกๆๆๆ น้องธีร์อยากได้ไรบอกมาเลย (แต่จะหามาให้หรือเปล่าอีกเรื่องนึงนะ) แถมพอกรี๊ดไปธีร์ก็ คิดถึงค้าบมาอีก โอย... ละลายยย
งานนี้นะบีบอกว่า ไม่ได้สอนนะ เด็กเค้าเป็นเองงง

Wednesday, December 26, 2007
ไก่เหลืองทริป
ช่วงปีใหม่นี้ ชาวเราได้กลับมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตากัน บีและหมีย้ากก็ได้กลับมาจากแมวเบิ้น พี่อรก็ได้กลับมาจากซิดนีย์ (และไม่ต้องไปอีกแล้ว) น้องตุ๊กกะติ๊กก็กลับมาจากเมกา พร้อมด้วยของฝากมากมาย อิ อิ... เสียดายที่อ๋อมแอ๋มไม่ได้มาด้วย ครอบครัวราชนิกูลเราเลยขาดสมาชิกไปหนึ่งคน
วันก่อนเราก็เลยไปฉลอง Christmas Eve กันที่หาดจอมเทียน พัทยา จกส้มตำไก่เหลืองกันอย่างหนุกหนานริมหาด แถมจับฉลากของขวัญแนวขำๆกัน พี่อรได้ตุ๊กตาวูดูจากติ๊ก หมีย้ากได้พระแก้วมรกตจากดั้วะ ดั้วะได้กระเป๋าผ้าจากพี่อร ติ๊กได้โปงลางสะออนจากบี บีได้นวมเกาหลังจากน้องแก้ว แก้วได้ปลาสลิดทอด แถมเซ็ท shower gel กะโลชั่น เพราะราคาไม่ถึง 500 ที่ตั้งเอาไว้จากปุ๊เอง และปุ๊ได้เสื้อและกางเกงมวยไทยจากหมีย้าก ขำมั้ยล่ะ
พี่อรที่ริมหาดหน้าร้านนายแกละ 3
หมีย้าก
ปุ๊กะบี
จับฉลากกันที่ริมหาด
โดยใช้ถั่วฝักยาวที่มากะส้มตำเป็นฉลาก apply กันสุดๆ
อิ่มหนำสำราญกันแล้ว เราก็ย้ายไปเดินชม สุขาวดี ที่เป็นบ้านของเจ้าของสหฟาร์ม โอ้..มาย บุดดา ไม่รู้ว่าอะไรมาดลใจให้เค้าทาสีบ้านแบบนั้น แต่ก็เราก็หนุกหนานกันตามประสาได้อยู่กันพร้อมหน้า ฮากระจาย
วันก่อนเราก็เลยไปฉลอง Christmas Eve กันที่หาดจอมเทียน พัทยา จกส้มตำไก่เหลืองกันอย่างหนุกหนานริมหาด แถมจับฉลากของขวัญแนวขำๆกัน พี่อรได้ตุ๊กตาวูดูจากติ๊ก หมีย้ากได้พระแก้วมรกตจากดั้วะ ดั้วะได้กระเป๋าผ้าจากพี่อร ติ๊กได้โปงลางสะออนจากบี บีได้นวมเกาหลังจากน้องแก้ว แก้วได้ปลาสลิดทอด แถมเซ็ท shower gel กะโลชั่น เพราะราคาไม่ถึง 500 ที่ตั้งเอาไว้จากปุ๊เอง และปุ๊ได้เสื้อและกางเกงมวยไทยจากหมีย้าก ขำมั้ยล่ะ
ถ่ายรูปกันระหว่างรออาหาร
อิ่มหนำสำราญกันแล้ว เราก็ย้ายไปเดินชม สุขาวดี ที่เป็นบ้านของเจ้าของสหฟาร์ม โอ้..มาย บุดดา ไม่รู้ว่าอะไรมาดลใจให้เค้าทาสีบ้านแบบนั้น แต่ก็เราก็หนุกหนานกันตามประสาได้อยู่กันพร้อมหน้า ฮากระจาย
บีกะเครื่องดับเพลิงที่บีชอบกดเล่นซะเหลือเกิน (อยากรู้ว่าทำไมหรือคิดไรเนี่ยะ ก็ไปถามบีเอาเองนะ) แก้ว ก้าว ก้อย หรือแน้ช
คุณพี่เสื้อเหลืองนั่นเค้าขับรถกอล์ฟ ไม่ได้เป็นชาวเรานะ
Bird Eye View
มุมโต๊ะอาหารกับรูปภาพเสด็จพ่อรัชกาลที่ 5
Monday, December 10, 2007
Samchuk 100 Years Old Market, the Living Museum (Part 2)

Last blog, we were at Baan Khun Chamnong. After we enjoyed the past, we were ready for the present, more foods that is.
Just across from Jek Aow, the noodles, you can see a unique coffee shop, which I cannot remember the name (Try reading it from the picture posted la gun na). I remember when I was in grade school. During school breaks, I usually stayed with grandma for a month or two. Grandma always asked me to buy her some iced coffee from this coffee shop (Ko-pee โกปี๊ to be exact). If you want to enjoy the old Ko-pee shop, you should visit this place. It is located in Samchuk market Soi 1, across from Samchuk District Office (ที่ว่าการอำเภอ เรียกง่ายๆว่า อยู่หน้าอำเภอนั่นแหละ) and near Jek Aow noodles. You can also order iced coffee or iced milk tea from this shop when having noodles at Jek Aow on weekdays na ka. I supposed weekend is too busy for them.


Right in front of the Ko-pee shop, you can find very very very yummy Roasted Duck, Ped Yang and Ped Pa-lo by Ja Cherd (เป็ดย่างจ่าเฉิด). This one, if my greatgrandma could have a say, she would have given TWO THUMBS UP. It was her most favorite duck when she was still with us. And don't mistaken it by going to another roasted duck stall just right across the soi na ka.

If you have a crave for Thai dessert, I would recommend the Thai dessert right next to Ja Cherd Roasted Duck and also in front of Ko-pee Shop. This dessert stall has like 10 - 15 pots of different kinds of Thai dessert. Taste is very good and not too sweet. Too bad that I don't have pictures for this one. And sorry again that I don't know the name. Only know that one of the owners when to school with my mom. hehehe...
Then, we walked around starting from Soi 1, which is the soi next to Samchuk District Office. And Soi 2, 3 and back to Soi 4 where we first started at my grandma's shop. I'm getting a bit sleepy now. So, here are the pictures.



The old Chinese medicine store is located in Soi 3, right next to another Chok Nimit shop of my uncle. If you drop by, you should have Chrysanthemum Tea (น้ำเก็กฮวย) and preserved Mango (มะม่วงดองนี่แหละ). Sometimes, you can see a small stall right in front of this Chinese medicine store selling Guava. If so, you should buy some na ka. They are very good.
That's my uncle showing how to use the old medicine grinder (เครื่องบดยา) at Soi 3 Chinese Medicine store. (จำชื่อร้านไม่ได้จริงๆ รู้แต่ ร้านอี๊กิ๋มเล็ก เรียกแบบนี้มาตั้งแต่เด็กอ่ะ อี๊กิ๋มเล็ก คือเจ้าของ ผู้หญิงผอมๆเสื้อสีส้มในรูปข้างบนนะคะ)
Finally, my newborn nephew, Nong Nai (น้องนาย). In that pic, he was about 1.5 months old. He is much bigger now ka.
Saturday, December 8, 2007
Samchuk 100 Years Old Market, the Living Museum (Part 1)

Samchuk 100 years old market, the living museum...
สามชุก ตลาดร้อยปี - พิพิธภัณฑ์มีชีวิต
In case you guys are wondering why I'm writing in English (very "go inter" this time, huh?), this is for Lisa, my dear friend who went on this trip with us. The three of us, Lisa, P'Knew and myself, went to Samchuk on November 18, 2007. And me as the local host drove there to show them my hometown and the hospitality of Samchuk residents. (I think my grandma and all my uncles did very well for the latter part.)
The original plan was to have lunch at the Buffalo Village in Amphur Sriprachan, Suphanburi. Then, visited Samchuk, 100 years old market. Then, lots and lots of river prawn for dinner. hehehe..
We took off around 10.00 am and drove along Bangbuatong-Suphanburi road. When we reached Suphanburi, still continued on this road and passed Amphur Muang. (Amphur = District) If you see Tesco Lotus on your left, that means you have reached Amphur Muang Suphanburi ka.
Then, we kept on going... to Samchuk, that is.
If you see the first traffic light on this road, that means you have reached Amphur Sriprachan. For those of you who want to buy antique furnitures, look toward your left and right once you pass this junction. You will see houses that sell these stuffs.
A little while after passing Sriprachan junction, you will see a sign saying turn right to Sawaengha (แสวงหา). Sawaengha is a district nearby, not part of Suphanburi province. But i'm sure quite sure which province. If you turn right here and drive along that small road for about 200 meters, to your left, you will find Buffalo Village where you can see buffalo show, museum, and a good restaurant. Yes, our original plan was to have lunch here. But we changed our mind to go straight to Samchuk and to lunch there. Nice noodles from Jek Aow (เจ๊กอ้าว) was our target for lunch.
So, we kept on driving along the main road until we saw the sign Samchuk turn left. At this junction, on the right, you will find a big construction site of Tesco Lotus. My 78 years old grandma joined the protest "Samchuk, No Lotus!!!" "สามชุก ตลาดร้อยปี ไม่เอาโลตัส". Don't be surprised to see this sign around the market even on the red T-shirt of Samchuk residents. The reason being was that the big super store like Lotus will ruin the way of life for all of us at Samchuk market.
At Samchuk market, we first stopped at my grandma's, fabric stores called Chok Nimit (โชคนิมิต). Nimit is my grandpa's Thai name. Yes, fabric stores not just one. Three shops of my uncles and one shop of my grandparents also share the same name. All four are located in Samchuk market. And a few more located around Suphanburi province. Grandma highly recommended Salid fish (ปลาสลิด ไม่รู้มันเขียนภาษาอังกฤษว่าไง เอาไปแบบนี้ก่อนละกันนะ). It's so yummy. Grandma cooked like a kilo of Salid fish for me everytime of my last few trips home. Hmmm Krispy on the outside, juicy and tasty on the inside... And I finished all of them easily by myself. hahaha... P'Knew also bought 3 kilos and she now asked me to buy more for her if I go see my grandma again.


Then, we headed to Jek Aow noodle stall for lunch. My aunt said the name Jek Aow is the first generation. Now, his daughters run this noodle stall. As long as I could remember, I've never seen the real Jek Aow, only his daughters for years after years. And no matter how long time passes by, the taste remains the same. They still use that old drawer for egg noodles. If you have a chance to visit Jek Aow noodle stall, I would highly recommend Egg Noodles and Wonton Tom Yum. And you will understand what I meant by egg noodles drawer.

Once finished lunch, we were ready to explore the market. Next stop, the museum, Baan Khun Chamnong (บ้านขุนจำนงค์).






One hundred years ago, Khun Chamnong was the tax officer who collected tax from those who traveled along Ta Jeen river (แม่น้ำท่าจีน) and traded rice at samchuk market, then, submitted them to the government. His generousity and hospitality were well awared by all Samchuk market residents. My mom said that when she and her little brothers were in primary school, they always came to his house after school to study in the evening. He spent his personal time to nourish and educate the youngs for a better future of Samchuk.
Back then, rice trading business was sprung. Merchants travelled along Ta Jeen river by boats with loads and loads of rice. Businesses in Samchuk were blooming. Then, roads were constructed to connect between Amphur to Amphur, Province to Province. The use of Ta Jeen river to connect and trade agricultural products has become less popular. Now, as you all know, even boat noodles are not for sale in a river anymore. Only boat places in a shop. When thinking to this point, it gave me a sad feeling that by developing our country, we have lost so much in our way of life.
A few years ago Samchuk market committee was established to reserve and revive our hometown. When the economic crisis struck Thailand in 1998, Samchuk, though a small district, was also impacted widely. My grandparents' business was one of them. And yes, a spoiled kid like me also had a good glimpse of that painful moment when I was studying in the US. A few years after slow economy, the Samchuk market committee started a campaign to promote Samchuk market. It took us 3 - 4 years to become well known to the press and, finally, to the whole country as "the destination" for a one-day trip from Bangkok. We have tried so hard with our tear and sweat to bring this market to live just like in the old days once again. And now, we are facing a new and critical obstacle, Tesco Lotus.
OK... I'd better stop now. Otherwise, I would have join one of the political parties and run for the December 23rd election. It's the Political Science blood in me that Chulalongkorn University has done a good work in filling it in. hae hae...
See ya next blog!
Subscribe to:
Posts (Atom)