Saturday, April 28, 2007

ปลื้มมมมมม

วันนี้เปลี่ยนจากเรื่องอาหาร เรื่องเที่ยว มาเป็นเรื่องดีๆแบบงานบุญกันบ้างนะ

เรื่องมีอยู่ว่า เก่ง คุณน้องชาย (หรือไอ้ลูกชาย หรือน้องยักษ์ ที่ชาวเราเคยได้ยินชื่อกัน) บวชที่วัดพระรูป จ.สุพรรณบุรี วัดนี้อยู่ใกล้บ้านมากๆ ตรงข้ามกัน แค่ข้ามแม่น้ำไปก็ถึง เมื่อวันที่ 13 เมษา วันสงกรานต์พอดี และปุ๊ก็ไม่อยู่พอดี บังเอิญเพิ่งจะมาดูฤกษ์บวช ฤกษ์สึกแล้วได้วันนั้น ไม่ได้มีเวลาเตรียมตัวอะไรกันมากนัก ปุ๊เองเปิดเมล์จากน้องตอนอยู่แมวเบิ้น หน้าจ๋อยลงทันที อยู่ในโหมดจ๋อยไปนานประมาณนึงเลย แน้ชต้องมาคอยปลอบ

นั่นล่ะ วันบวชก็ไม่ได้ไป กลับมาจากแมวเบิ้นปั๊บก็รีบไปวัด ได้ไปสรงน้ำพระวันที่ 17 พอดี ปลื้มใจ น้ำตาคลอเลย ได้เห็นชายผ้าเหลืองของน้องชายที่เราเลี้ยงมา บวชไป 15 วัน แล้วก็มาถึงวันสึก เมื่อวันพฤหัส 26 เมษา ปุ๊ก็ได้ลางานไปงานสึกของน้อง (แอบมีคนไม่พอใจบ้างเล็กน้อยแต่ไม่สน จะลา เรื่องมากนัก เดี๋ยวก็ลาออกซะ หมดเรื่อง สวยเลือกได้... ขอบอก)

งานสึกปกติก็ไม่ได้มีพิธีการใหญ่โตอะไรมากมายเมื่อเทียบกับงานบวช แต่เราก็อยากทำบุญกัน ก็เลยเลี้ยงเพลหลังจากที่พระน้องสึกมาแล้วด้วย

ดูรูปกันดีกว่านะ พระเก่ง มีฉายาว่า พระสิริปุญโญ
เริ่มจากพระน้องไปลาสิกขาบท มีฤกษ์ 9.09 น. คุณยายบอกว่า ฤกษ์สึกเนี่ยะสำคัญกว่าฤกษ์บวชอีกนะ สึกออกมาแล้วจะดี ประสบความสำเร็จหรือไม่ฤกษ์ก็มีส่วน เชื่อไว้ไม่เสียหายเน๊อะ




แล้วก็มากราบลา ถวายดอกบัว ธูปเทียน ที่เห็นส่งดอกไม้ธูปเทียนให้พระนั่นมิใช่เด็กวัดที่ไหน พุงกลมๆนั่นน่ะ พระบิดาของเดี๊ยนเองค่ะ อิ อิ อิ...




หลังจากนั้นพระท่านก็จะให้ถอดจีวร แล้วไปอาบน้ำมนต์ แต่งตัวใหม่ ด้วยชุดใหม่เอี่ยม ส่วนจีวรท่านก็จะถามว่า เราจะถวายไว้ที่วัดเป็นส่วนกลางมั้ย ซึ่งแม่ก็บอกท่านว่าถวายให้เป็นส่วนกลางของวัดไว้แล้วก็มาสวดมนต์อีกรอบ


เสร็จแล้วก็ให้เดินออกจากวัด โดยมีเคล็ดว่า ต้องให้เด็กผู้หญิงเป็นคนจูงเดินออกผ่านประตูวัด แล้วห้ามหันหลังโดยเด็ดขาด ก็เลยได้น้องเมย์ อายุประมาณสิบขวบ มาช่วยในขั้นตอนนี้ โดยมีปุ๊และแม่เดินตามเงียบๆอยู่ข้างหลัง



ออกจากวัดแล้วก็กลับบ้านไปไหว้บรรพบุรุษที่บ้าน เอาบุญไปฝาก แล้วก็กลับมาที่วัดอีกทีมาเลี้ยงเพลกัน ช่วงเลี้ยงเพลไม่ได้เก็บรูปมาเพราะญาติเยอะ มัวแต่รับแขกอ่ะนะ งานนี้พูดได้คำเดียวว่า ปลื้มมมมมมม

Wednesday, April 25, 2007

สปาเก็ตตี้ผัดเบคอน สุดแสนอร่อยล้ำ...

วันนี้แมวใหญ่ แมวเล็กไม่อยู่ซักคน หนูอย่างปุ๊เลยขี้เกียจทำงาน ร่าเริง นั่ง up blog แก้ง่วง เนื่องจากรับมื้อกลางวันไปเยอะมาก เข้าอาการหนังท้องตึง หนังตาหย่อน แต่หนังหน้าไม่มีหย่อนเลยซักนิด ประมาณนั้น ... คิดๆว่าจะเขียนเรื่องอะไรต่อดี ก็เลยนั่งดูรูปสปาเก็ตตี้ที่วันก่อนทำกินกะแน้ชและบีแล้ว คิดไปคิดมา เอามานั่งเขียนอีกซักตอนดีกว่าในช่วงที่บรรยากาศปลอดโปร่ง ทะเลเรียบไม่มีคลื่นใต้น้ำแบบนี้

เข้าเรื่องที่จั่วหัวเอาไว้ดีกว่า "สปาเก็ตตี้ผัดเบคอน"
เครื่องปรุงที่ใช้ก็มี Spaghetti, bacon, chopped garlic, black pepper, salt, virgin olive oil, and black olive
สำหรับเส้นสปาเก็ตตี้ ใครจะใช้ Penne, Fettuccine, Linguine ก็แล้วแต่ชอบนะจ๊ะ
แต่เวลาลวกเส้นอย่าให้นิ่มเกินไป พอเอามาผัดจะไม่อร่อยเส้นมันจะเละ ปุ๊ชอบแบบลวกแข็งนิดนึงพอเอาไปผัดก็จะนิ่มพอดี ไม่แข็งไป ไม่นิ่มไป ลวกเสร็จล้างน้ำเย็นเพื่อให้เส้นหยุด cook แล้วคลุกด้วยน้ำมันมะกอกเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เส้นติดกันเป็นก้อน

เบคอนก็เป็นอีกอย่างที่ต้องเตรียมก่อนจะเอาไปผัด เอาเบคอนมาทอดให้หอม เกรียมนิดหน่อยพองาม แล้วก้เอามาหั่นเป็นชิ้นๆยาวๆ ขนาดพอคำ เตรียมไว้ก่อนที่จะเอาไปผัดนะคะ

หลังจากเตรียมอุปกรณ์พร้อมแล้ว เริ่มต้นก็ตั้งกระทะใส่น้ำมันมะกอกพอร้อน ใส่กระเทียมลงไปเจียว พอให้เริ่มๆจะเหลืองและมีกลิ่นหอม ก็เอาเบคอนที่เตรียมไว้ใส่ลงไปผัด
ผัดให้เข้ากันซักแป๊บ ก้เอาเส้นสปาเก็ตตี้ลงไปผัด
แล้วก็ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทยดำ ผัดไปซักแป๊บพอให้เข้ากัน
แล้วก็ตามด้วย พริกแห้ง และมะกอกดำ ลงไปคลุกให้ทั่ว
ท๊า ด๊า..... เมนูสปาเก็ตตี้ผัดเบคอน สุดแสนอร่อยล้ำของเราก็พร้อมเสริฟแล้วจ้า...


เนื่องจากไม่ได้ถ่ายรูปเต็มๆของสปาเก็ตตี้เบคอนไว้ สปาเก็ตตี้กับเนื้อสเต็กก็น่ากินนะ อร่อยเหมือนกันค่า...

Grilled Lamb แสนอร่อย แบบง่ายๆ สไตล์สองราชนิกูล

มีเสียงเรียกร้องมาให้บอกวิธีการทำอาหารด้วย เนื่องจากดูรูปแล้วอยากกินมั่ง เราก็เลย จัดให้...

เริ่มจากเมนูแกะก่อนละกัน วันนั้นเราสองแม่ลูกไปเดินตลาด Queen Vic แล้วก็ได้ lamb rack ที่หั่นเป็นชิ้นๆแล้ว มาทั้งหมด 8 ชิ้น ในราคาแค่ 8 AUD นิดๆ ตกแค่ชิ้นละ 30 บาท ถูกมากๆ ซื้อเอามาย่างให้แม๊กกี้ หลานราชนิกูลแทะเล่นก็ยังได้

ขั้นแรกในการทำ หลังจากล้างแกะเรียบร้อยแล้ว ก็เอามาโรยเกลือ พริกไทยดำ และโรสแมรี่ โรยให้ทั่วแล้วหมักทิ้งไว้ซักพัก หรือถ้าขี้เกียจหมัก พูดแบบดีๆหน่อยก็ไม่มีเวลาหมัก ก็ข้ามขั้นตอนนี้ไปที่ขั้นต่อไปได้เหมือนกัน

ต่อมาก็ตั้งกระทะไฟอ่อนๆ - ปานกลาง ตั้งใจว่าจะย่างออกมาให้เป็น Medium ถ้าไฟแรงไปด้านนอกจะเกรียมแล้วข้างในจะดิบมากเป็นแบบ Rare เลย แล้วก็ใส่น้ำมันมะกอกลงในกระทะเล็กน้อย

พอน้ำมันร้อน ก็เอาเนื้อแกะที่เตรียมไว้ลงในกระทะ โรยเกลือ พริกไทยดำและโรสแมรี่ลงทีละด้าน ถ้ายังไม่ได้ปรุงรสหมักไว้ก่อน แล้วก็ค่อยๆ พลิกกลับด้าน ดูให้เนื้อเกรียมพองาม เวลากดลงไปบนเนื้อ ถ้าข้างในยังดิบ มันจะนุ่มๆกดลงไปง่าย แต่ถ้าเริ่มสุก กดลงไปจะแข็งๆหน่อย จะให้ดีก็กลับเอาด้านข้างที่เป็นมัน ลงย่างให้เกรียมด้วยนะคะ

ถ้าจะเปลี่ยนเป็นเนื้อวัว steak วิธีการก็แบบเดียวกัน แต่ต้องดูว่า เนื้อที่ซื้อมาเป็นส่วนไหน พวก Rib eye จะใช้เวลาน้อยกว่าพวก T-Bone นะ

ใช้วิจารณญาณของใครของมันดูว่าน่าจะสุกกินได้ ก็เอาขึ้นใส่จาน เสริฟพร้อมกับสลัด Balsamic dressing

น้ำสลัด balsamic ก็ไม่ยาก เครื่องปรุงก็มีแค่ น้ำมันมะกอก น้ำส้ม Balsamic พริกไทยดำ เกลือ น้ำตาลเล็กน้อย (ใส่น้ำตาลนี่ตามสูตรคุณแม่ของน้องแน้ช)
ผสมน้ำมันมะกอกกับน้ำส้ม Balsamic ก่อน ใช้อัตราส่วน 1:3 (บางตำราบอกว่า 1:2 แต่ปุ๊ว่ามันค่อนข้างจะมันเกินไป)
แล้วก็ใส่พริกไทยดำ เกลือ น้ำตาล ตามใจชอบ ผสมให้เข้ากัน ชิมจนกว่าจะอร่อย
แล้วก็เอาไปใส่กับผักสลัดที่เตรียมไว้ก็เสร็จ

เมนูอีกอย่างที่เสริฟเป็นเครื่องเคียงพิเศษสำหรับน้องแน้ชก็คือ เห็ดผัดกระเทียม
ทำง่ายๆไม่ยาก ใช้เห็ดที่หั่นไว้เป็นแผ่นๆ อย่าถามว่าชื่อเห็ดอะไร เพราะไม่รู้ แม่ครัวคนนี้ไม่กินเห็ดคับ กระเทียมซอยเยอะๆ แล้วก็เกลือ พริกไทยดำ

ขั้นตอนก็เริ่มจากเอาน้ำมันมะกอกเล้กน้อยใส่กระทะพอร้อน ใส่กระทะลงไป
เจียวพอจะเริ่มเหลืองมีกลิ่นหอม ก็เอาเห็ดใส่ลงไปผัด
แล้วปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทยดำ ก็เป็นอันเสร็จ พร้อมหม่ำๆได้แล้วค่า...


Tuesday, April 24, 2007

Farewell Dinner ก่อนกลับบ้าน

วันอาทิตย์ที่ 15 เมษา เป็นวันสุดท้ายของเราสองแม่ลูก เครื่องออกตอนเที่ยงคืน โทรเรียกแท๊กซี่มารับสามทุ่มครึ่ง เราก็เลยมีเวลาเหลือเฟือ ไปช้อปปิ้งกันก่อน แล้วกลับมาทำกับข้าวกินก่อน แล้วค่อยเก็บของ

เย็นนี้เราเปลี่ยนเป็นอาหารไทยมั่งดีกว่านะ เมนูมีไข่เจียวไก่สับ กุ้งปลาหมึกกระเทียมพริกไทย ผัดผักรวมมิตรน้ำมันหอย (มีแค่สองมิตรพอ กะหล่ำปลีกะเห็ด มีมิตรมากๆจะเปลือง) แล้วก็แกงจืดผักกะหล่ำปลีกับสาหร่าย





หลังจากอิ่มอร่อยกับเมนูแสนอร่อยของเราแล้ว ก็เก็บของเตรียมตัวเดินทางกลับบ้าน

บ๊ายบายแมวเบิ้น ไว้ว่างๆจะไปตรวจดูบ้านของเราใหม่นะจ๊ะ คนขับรถดูแลบ้านให้ดีล่ะ เข้าใจมั้ย

อาหารเช้าแสนอร่อย

เนื่องจากขนมปังแถวนึงที่ซื้อมา มันเยอะมาก เราสองเลยต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เราซื้อมาในตู้เย็นก่อนกลับกรุงเทพ เช้าวันนึง เราก็เลยต้องคิดหาเมนูที่จะใช้ขนมปัง และไข่อีกตั้งโหลนึง

ทำอะไรกินดีน้อ... ติ๊ก ต่อก... ติ๊ก ต่อก...
ปิ๊งป่อง... French Toast and Ham

เมนูทำง่ายๆ แต่อร่อย เริ่มจาก ไข่ฟองนึง ใส่นมนิดหน่อย น้ำตาลซักเกือบๆช้อนชา ผสมเสร็จเข้าที่
ก็เอาขนมปังที่ตัดไว้เป็นสามเหลี่ยมสวยงามเอาไปชุบ
แล้วลงในกระทะ ไฟอ่อนๆ ถ้าไฟแรงข้างนอกจะเกรียมก่อนที่ไข่ด้านในสุกนะคะ

แล้วก็จะได้อาหารเช้าหน้าตาสวยงาม แบบนี้ค่า...

Sunday, April 22, 2007

เมนูไฮโซจากสองแม่ครัวราชนิกูล

พอชาวแมวเบิ้นชนกลับไปทำงาน สองราชนิกูล ปุ๊กะแน้ชก็เลย เชิ่ดใส่หมี ย้ายมาเกาะบีแทน เนื่องจากบ้านของบีอยู่ในเมือง เดินทางช้อปปิ้งสะดวกกว่าบ้านของหมียักษ์
มาถึงบ้านของบี เราสองแม่ลูกก็ตกลงใจกันว่า บ้านนี้คือ บ้านของเรา เราก็เลยออกช้อปปิ้งหาของแต่งบ้านมาใส่ไว้ คิกๆๆ บ้านของเราดูสวยเก๋มีรสนิยมขึ้นมาเลยทีเดียว ขนซื้อทั้งนาฬิกาติดผนัง หมอนอิง กล่องใส่ของกระจุกกระจิก กลับมาก็จัดๆๆ ย้ายนู่นนี่ สวยสมใจก็มาต่อกันที่อาหารเย็น
เนื่องจากเราช้อปปิ้งกันแบบราชนิกูลมาก เดินๆซักแป๊บ โอ๊ย.. เหนื่อย เดินกลับไปนั่งพักกินน้ำที่บ้านของเราดีกว่า เดี๋ยวค่อยออกมาใหม่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ออก แหะ แหะ... งั้นทำกับข้าวกินกันดีกว่า

เริ่มจากเมนูแรก Grilled Lamb, Spaghetti with garlic and bacon, and Salad with Balsamic dressing กว่าจะออกมาได้ สองแม่ครัวเกือบจะบ้าตาย
ก่อนจะตัดสินใจทำอาหาร เลือกเมนู เราก็ถามบี "มีเกลือ กะโรสแมรี่มั้ย"
บีบอกว่า "มี ไม่ต้องซื้อ"
เราสองก็ "โอเค..."
ทำไปเรื่อยๆ ปรุงรสเท่าไหร่ก็ไม่อร่อยถูกใจซะที ทำไมเนี่ยะ ชิมแล้วชิมอีก แม่ครัวราชนิกูลเริ่มเซ็งเล็กๆ เกือบจะเสียเซลฟ์กับฝีมือตัวเอง จนกระทั่ง บีกลับมาจากทำงาน ถึงได้รู้ว่า ไอ้ขวดที่เราคิดว่าเป็นเกลือเนี่ยะ ที่จริงแล้วมันคือ น้ำตาล
เกลือจริงๆของบีที่บอกว่า บีมีเกลือ ไม่ต้องซื้อเนี่ยะ มันเป็นซองเล็กๆ อยู่สี่ซอง ซองแบบที่จิ๊กมาจากบนเครื่องบินอ่ะ
มีอยู่แค่นั้นจะให้ทำสปาเก็ตตี้ สลัด แกะย่างได้ไงฟร้า... บีเลยต้องรีบวิ่งลงไป IGA เพื่อซื้อเกลืออย่างด่วน เพราะไม่เช่นนั้นอาจมีระเบิดลงแถวนั้นได้ สุดท้ายภาพเมนูวันนั้นก็เลยเบลอ คาดว่า ช่างภาพ (บี)คงจะมือสั่นกลัวตายอยู่



วันต่อมา lamb ยังเหลือ แต่เจ้าของบ้าน (บี) ไม่ชอบกิน lamb เราก็เลยไปซื้อเนื้อมาทำ steak เพิ่ม คราวนี้อุปกรณ์พร้อม มีเกลือแบบเหลือเฟือ เมนูก็เลยออกมาหน้าตาดีกว่าคราวก่อน อารมณ์ดีก็เลยแถมด้วยเห็ดผัดกระเทียมของโปรดลูกแน้ชอีก




ในที่สุดก็ได้อิ่มอร่อยไปอีกมื้อ แบบไม่มีอุปสรรค... เฮ้อ

Saturday, April 21, 2007

ปุ๊ กะ ปุ๊

โลกนี้มันกลมมาก ปุ๊ มีน้องชายแท้ๆชื่อ เก่ง (ผู้ซึ่งเป็นความปลื้มของปุ๊อย่างยิ่ง เพราะตอนนี้เพิ่งเรียนจบ ได้งานแล้วและกำลังบวชอยู่คับ) และก็มีน้องที่ accenture ซึ่งรักใคร่กันกลมเกลียว ชื่อ เก่ง (กลมเท่าตัวของเก่งเลยทีเดียว) ต่อมาเก่ง (acn) ได้มีแฟนซึ่งไปพบกันที่แมวเบิ้น ชื่อ ปุ๊ เริ่มงงหรือยังคับ ปุ๊แฟนเก่งนั้นเคยเจอกะปุ๊มาก่อนแล้ว โดยผ่านทางอ๋อมแอ๋ม ลูกสาวสุดที่รักอีกคน และเราก็ได้นัดมาเจอกัน ไปกิน Mega Burger กันที่ Williamstown


แถมด้วยรูปนี้ที่เก่งแอบถ่าย คิกๆๆ ชอบมั่กๆ เดี๋ยวจะต้องไปจุ๊บๆช่างทำผมของเราซักสองที ผมเริ่ดมากกกก



ใครมีรูปวันนั้นก็ส่งมาให้บ้างนะจ๊ะ

แสงแดด ท้องฟ้า น้ำทะเล และหินกับหิน ตอนที่ 2

ชาวเราวางแผนกันว่าวันที่ 3 จะไป The Great Ocean Road ว่ากันว่าระหว่างทางไม่มีไรกิน ได้เลยยย... จัดให้

เพล้ง!!! เค้าทำขวด Cheddar Cheese Spread แตก กระแทกเท้าตัวเอง แง... เจ็บ ด่าใครไม่ได้ ทำเอง เจ็บเอง อดกิน cheese spread ที่จงใจซื้อมาเองอีก เซ็งเลยคับพี่น้องงง

แต่ที่เลวร้ายกว่านั้น ตื่นนอนมาก้าวเท้าลงกับพื้น กรี๊ดดด ทำไมมันเจ็บอย่างนี้ บวมเป่ง เป็นสีม่วงเลย แง.. แง.. แล้วเค้าจะเดินเที่ยวได้อย่างไร

ราชนิกูลอย่างเราซะอย่าง พาคนขับรถประจำตระกูลมาด้วยทั้งที ก็เลยต้องให้คนขับรถมาคอยพยุงเวลาเดินด้วยสิ


ออกเดินทางล้อหมุน พร้อมด้วยเสบียง ก็ไปแวะรับชาวเราตามทางมาจนครบ แล้วก็หลับบบ ไปนานพอตัว สุดท้ายก็มาถึง ที่เค้าว่ากัน The Great Ocean Road มันก็สวยอย่างที่เค้าว่าจริงๆ ฟ้าใส ทะเลสวย ไม่มีเมฆเลย ชาวเราเคยไปกันคราวก่อนนี้บอกว่า มีเมฆ แต่ด้วยบุญบารมีของสองราชนิกูล ไม่มีเมฆเลย ไอ้ที่ว่าหนาวก็กลายเป็นร้อนไปซะงั้น




ตื่นเต้น ตื่นเต้น... สวยจัง เค้าว่า เดี๋ยวจะสวยกว่านี้อีก จะไปดูหมีโคอาล่า ดู Otway Light house แล้วก็ 12 Apostles
ไปกันเล้ยยย



ผ่านด่านหมีโคอาล่า กับ Otway มาได้ ปุ๊ก็ยังชื่นชมความงามของท้องฟ้าและน้ำทะเล อาจจะร้อนและเจ็บเท้าไปบ้างแต่ก็ยังพอทน ด่านต่อไปคือ หิน 12 Apostles ที่ตอนนี้รู้สึกจะเหลือแค่ 8 ถ้าไม่รีบไปดูอาจจะไม่เหลือซักก้อนให้ดูนะ แล้วเราก็แวะตามจุดที่เค้ามีป้ายบอกให้ดูหินก้อนแรก


และหินก้อนต่อไป...

และเราก็ยังคงแวะดู... หิน


ในขณะที่คนอื่นๆชื่นชมกับหิน

เราสองแม่ลูกราชนิกูลก็ออกอาการ "เอิ่ม... ใครก็ได้ ช่วยบอกว่าปลายทางนั้นนอกจากหินแล้วยังมี Tiffany&Co ให้ช้อป" แต่... ก็มีแต่ หิน

มันไม่ไหวแล้วนะค้าบ พี่น้องงง อะไรนะโอตะ... กลับเหรอ เย้!!! พอกันทีหินทั้งหลาย สวัสดี ลาก่อน

"To all those rocks, we're not meant to be together!!!"

แสงแดด ท้องฟ้า น้ำทะเล และหินกับหิน ตอนที่ 1

วันที่สองและสามของแมวเบิ้น ชาวเราก็ออกเดินทางด้วยราชรถแวน สีขาวออกท่องทะเล ไปดูหาดอะไรซักอย่างที่จำชื่อไม่ได้ ใครจำได้บอกด้วยนะคะ น้ำทะเลสีสวย ฟ้าใสมาก



คิดว่าจะหนาว แต่กลับร้อน เพราะแดดแรงสุดๆ ก็เลยแวะกินไอติมก่อนจะบ๊ายบายหาดที่จำชื่อไม่ได้ไปดู Maze เค้าว่ากันว่า เป็น Corn Maze

มาถึง Maze ที่ว่า ก็ปาเข้าไปห้าโมง มีเวลาชั่วโมงเดียวก่อนปิด ต้องเร่งทำเวลา ชาวเราก็เร่งถ่ายรูปกันเป็นการใหญ่ แถมไปเจอรูปนางฟ้า กรี๊ดดด ครอบครัวนางฟ้าของเรา อ่อมแอ๋มจ๋า... คิดถึงจังเลย

ก่อนออกมาจาก Maze ก็นึกขึ้นได้ว่า ยังไม่เคยทำพิธีเสกให้ลูกสาวแน้ชเป็นนางฟ้าเต็มตัว (มิน่าทำไมแน้ชถึงชอบแปลงร่างเป็น (6) บ่อยๆ) เอาล่ะ ต้องเสกปิ๊งๆ

สำเร็จแล้ววว

la laa laaa lun laa... ออกเดินทางต่อได้ชาวเรา แล้วก็ไปเจอระหว่างทาง มุมสวยมากๆ จอดด้วยค้าบบบ ขอทำตัวชื่นชมกะทำมาชาดเล็กน้อย

แล้วเราก็หิว... กลับบ้านหาข้าวกินกันเหอะ เย็นนี้ ปุ๊จะเป็นแม่ครัวเอง เสียดายไม่ได้เก็บภาพเมนูมื้อเย็นวันนั้นมา แต่อร่อยคับ ไม่เชื่อถามหมีกะยุ้ยดูได้



สงกรานต์หรรษา เริงร่า ที่ Melbourne, Australia

วันหยุดที่ผ่านมา ชาวเรา accenture + ex-accenture ก็ไปรวมตัวกันที่แมวเบิ้น ปุ๊และแน้ช ลูกสาวสุด love เดินทางโดย SQ แวะหนามบิน Changi ซื้อของตาม Order ไปให้ hamee เจ้าของบ้านที่เราจะไปพัก

แล้วก็เดินทางต่อไปเจอกับ โอตะ ซึ่งบินมาจาก Sydney ที่หนามบิน Tullamarine งานนี้ขอบอกว่า โอตะ เท่ห์มากๆ พอเราสองเข็นกระเป๋าเดินออกมา ก็มีชายหนุ่มสุดเท่ห์ปราดเข้ามาขว้ารถเข็นเอาไปเข็นให้ พาไปที่รถ Toyota Tarago ฟังชื่อแล้วอยากกิน ทาโกะยากิ งั่มๆ

อยากเห็นหน้าโอตะ สุดเท่ห์ เชิญเลยคร้าบ เรื่องหน้าตา และรูปร่างเราไม่ขอกล่าวถึง แต่ความแมนนี่ สุดยอดดด





จากหนามบิน เราก็ลุ้นกันเล็กน้อยว่า โอตะ จะพาเราสองสาวหลงทางหรือไม่ แต่ในที่สุดเราก็มาถึงบ้านของ hamee หรือที่ชาวเราเรียกกันว่า หมียักษ์ แต่ได้ข่าวว่า เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นชื่อ BT อีกด้วย Anyway,บ้านหมีเนี่ยะหรูมาก เหมาะกับราชนิกูลอย่างปุ๊และแน้ชที่จะไปพักเป็นอย่างยิ่ง ตรงนั้นเรียกว่าอยู่แถว Dockland มี 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ มองจากระเบียงไปเห็นอ่าวที่เค้าจอดเรือกัน กับ Telstra Dome วิวดีเลยเชียว เหมาะกับการ BBQ จิบไวน์ชิวๆกันเลยค้าบ พี่น้องงง


การเขียน blog นี่มันก็เหนื่อยเหมือนกันนะ เอาไว้ค่อยมาเขียนใหม่วันหลังดีก่า วันนี้ปุ๊ลาไปดูหนังเกาหลีสุด love ก่อนนะค้า...